More
    หน้าแรกTechSiri ยังต้องรอ! Apple ซุ่มทดสอบแอป AI คล้าย ChatGPT แต่การปฏิวัติผู้ช่วยอัจฉริยะเลื่อนไปถึงปี 2026

    Siri ยังต้องรอ! Apple ซุ่มทดสอบแอป AI คล้าย ChatGPT แต่การปฏิวัติผู้ช่วยอัจฉริยะเลื่อนไปถึงปี 2026

    ในยุคที่ Generative AI กำลังร้อนแรงเหมือนอากาศบ้านเรา หลายคนคงจับตาดูกันตาไม่กะพริบว่า Apple ยักษ์ใหญ่แห่งวงการเทคโนโลยี จะปล่อยหมัดเด็ดอะไรออกมาสู้กับคู่แข่งบ้าง โดยเฉพาะการอัปเกรดครั้งใหญ่ของ Siri ผู้ช่วยอัจฉริยะที่อยู่กับเรามานาน แต่ดูเหมือนว่าช่วงหลังๆ จะโดนเพื่อนๆ อย่าง Google Gemini หรือแม้กระทั่ง ChatGPT แซงหน้าไปหลายช่วงตัว

    ล่าสุดมีข่าวใหญ่หลุดออกมาจากสำนักข่าว Bloomberg ที่ทำให้ทั้งสาวกและคนในวงการต้องหันมามอง Apple กำลังซุ่มทดสอบแอป AI ภายในที่ทำงานคล้าย ChatGPT เลยทีเดียว! แต่…ข่าวดีก็มาพร้อมกับข่าวที่อาจทำให้หลายคนต้องถอนหายใจ เพราะการยกเครื่อง Siri ครั้งประวัติศาสตร์ที่เราตั้งตารอกันนั้น ถูกเลื่อนออกไปจนถึงปี 2026 นู่นเลย

    เรื่องราวทั้งหมดเป็นอย่างไร ทำไม Apple ถึงต้องมีแอป AI ลับ? แล้วทำไม Siri โฉมใหม่ถึงต้องใช้เวลานานขนาดนั้น? วันนี้เราจะมาเจาะลึกทุกประเด็นแบบเข้าใจง่าย เหมือนเพื่อนสนิทมาเล่าให้ฟังกันครับ

    Image credit: Unsplash.com

    “Veritas” แอป AI ลับหลังบ้านของ Apple

    ก่อนอื่นต้องบอกให้ชัดเจนก่อนว่า แอปที่ว่านี้ไม่ได้มีไว้ให้พวกเราใช้กันนะครับ Apple ได้พัฒนาแอปพลิเคชันที่มีชื่อรหัสภายในว่า “Veritas” ขึ้นมา หน้าตาและการทำงานของมันก็คล้ายกับแชทบอทอย่าง ChatGPT ที่เราคุ้นเคยกันดี สามารถพูดคุยโต้ตอบ ถามคำถามต่อเนื่อง และจดจำบทสนทนาก่อนหน้าได้

    แล้ว Apple สร้างมันขึ้นมาทำไม?

    คำตอบคือ “Veritas” เป็นเหมือน “สนามเด็กเล่น” หรือ “ห้องทดลอง” สำหรับวิศวกรของ Apple ครับ แทนที่จะต้องทดสอบฟีเจอร์ใหม่ๆ บน Siri โดยตรง ซึ่งอาจจะยุ่งยากและซับซ้อน พวกเขาสามารถใช้ Veritas ในการทดสอบและประเมินประสิทธิภาพของเทคโนโลยี AI ตัวใหม่ได้อย่างรวดเร็ว

    ลองนึกภาพตามนะครับ วิศวกรสามารถสั่งให้ Veritas ลองทำสิ่งต่างๆ ที่คาดว่า Siri ใหม่จะต้องทำได้ เช่น:

    • ค้นหาข้อมูลส่วนตัวในเครื่อง: “ช่วยหาอีเมลที่คุยกับลูกค้าเรื่องโปรเจกต์ X ให้หน่อย” หรือ “เปิดเพลงที่ฉันฟังบ่อยๆ ตอนเย็นให้ที”
    • สั่งงานข้ามแอปพลิเคชัน: “ช่วยแต่งรูปที่ฉันเพิ่งถ่ายล่าสุดให้สว่างขึ้น แล้วส่งให้เพื่อนในแชทเลย”

    การมีแอปแบบนี้ช่วยให้ Apple เก็บข้อมูลและ Feedback ได้ง่ายขึ้นว่าเทคโนโลยี AI ของพวกเขาทำงานได้ดีแค่ไหน และคนทั่วไปจะชอบการมีผู้ช่วยในรูปแบบแชทบอทหรือไม่ ถึงแม้ว่าผู้บริหารของ Apple อย่าง Craig Federighi จะเคยบอกว่าพวกเขาอยากให้ AI ผสานเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของทุกการใช้งาน มากกว่าจะเป็นแค่แชทบอทที่แยกออกมาต่างหากก็ตาม

    Siri โฉมใหม่: ทำไมเราต้องรอถึงปี 2026?

    มาถึงคำถามที่หลายคนคาใจที่สุด “ทำไมต้องรอนานขนาดนั้น?” จากเดิมที่มีข่าวลือว่าจะมาในปีนี้หรือต้นปีหน้า แต่ล่าสุดดูเหมือนว่าเราอาจจะต้องรอถึง ช่วงฤดูใบไม้ผลิของปี 2026 (ประมาณเดือนมีนาคม-มิถุนายน) ซึ่งอาจจะมาพร้อมกับอัปเดต iOS 26.4 เลยทีเดียว

    เหตุผลหลักที่ผู้บริหารของ Apple ออกมาชี้แจงนั้น ชัดเจนและตรงไปตรงมามากครับ นั่นคือ “คุณภาพยังไม่ดีพอ”

    Greg Joswiak และ Craig Federighi ผู้บริหารระดับสูงของ Apple ให้สัมภาษณ์ว่า พวกเขาไม่อยากปล่อยผลิตภัณฑ์ที่จะสร้างความผิดหวังให้กับผู้ใช้งาน ฟีเจอร์ AI ใหม่ของ Siri ในปัจจุบันยังทำงานได้ “ไม่น่าเชื่อถือพอที่จะเป็นผลิตภัณฑ์ของ Apple” และมีอัตราความผิดพลาดในระดับที่ยังยอมรับไม่ได้

    นี่คือจุดยืนที่แข็งแกร่งของ Apple มาโดยตลอด คือการให้ความสำคัญกับประสบการณ์ผู้ใช้สูงสุด แม้จะต้องแลกมากับการที่ปล่อยของช้ากว่าคู่แข่งก็ตาม ภายในบริษัทเองก็มีเสียงวิจารณ์ว่าความคืบหน้าของ Siri นั้นช้าเกินไป จนถูกมองว่าตามหลังคู่แข่งอย่าง Google และ Samsung อยู่ เรื่องนี้จริงจังถึงขนาดที่มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างผู้นำ โดยย้ายหัวหน้าทีม Siri คนเดิมออก แล้วมอบหมายให้ Mike Rockwell ผู้สร้างแว่น Vision Pro เข้ามาดูแลแทนเลยทีเดียว

    Image Credit: Apple.com

    “Apple Intelligence” คืออะไร? และ Siri ใหม่จะฉลาดแค่ไหน?

    หลายคนอาจจะได้ยินคำว่า “Apple Intelligence” บ่อยขึ้นในช่วงหลัง ต้องทำความเข้าใจก่อนว่ามันไม่ใช่แค่ชื่อใหม่ของ Siri นะครับ แต่มันคือ “ชุดความสามารถทางปัญญาประดิษฐ์” ทั้งหมดที่ Apple กำลังพัฒนาเพื่อฝังเข้าไปในระบบปฏิบัติการของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น iPhone, iPad หรือ Mac ซึ่งจะรวมถึงฟีเจอร์อย่างการสรุปข้อความ การช่วยเขียน หรือการจัดการการแจ้งเตือนต่างๆ ด้วย

    แล้ว Siri ในฐานะส่วนหนึ่งของ Apple Intelligence จะฉลาดขึ้นแค่ไหน? จากข้อมูลที่ออกมา วิสัยทัศน์ของ Apple คือการทำให้ Siri เป็น “ผู้ช่วยส่วนตัว” อย่างแท้จริง:

    • เข้าใจบริบทมากขึ้น: ไม่ใช่แค่รับคำสั่งเป็นครั้งๆ ไป แต่จะเข้าใจเรื่องราวที่เราคุยต่อเนื่อง สามารถทำงานที่ซับซ้อนหลายขั้นตอนได้
    • ทำงานบนเครื่อง (On-Device): จุดแข็งที่สุดของ Apple คือเรื่องความเป็นส่วนตัว ข้อมูลส่วนตัวของเราจะถูกประมวลผลบนอุปกรณ์เป็นหลัก แทนที่จะส่งขึ้นไปบนคลาวด์ทั้งหมด ซึ่งแตกต่างจากคู่แข่งหลายๆ เจ้า
    • เรียนรู้จากตัวเรา: Siri จะสามารถเข้าถึงข้อมูลในเครื่อง (แน่นอนว่าต้องได้รับอนุญาตจากเราก่อน) เพื่อให้คำแนะนำและช่วยเหลือได้ตรงจุด เหมือนมีผู้ช่วยที่รู้จักเราดีจริงๆ

    เบื้องหลังความฉลาดนี้คือเทคโนโลยีที่เรียกว่า Large Language Models (LLMs) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกับที่อยู่เบื้องหลัง ChatGPT นั่นเองครับ โดย Apple กำลังทดสอบทั้งโมเดลที่พัฒนาขึ้นเอง และโมเดลจากพาร์ทเนอร์อย่าง Google เพื่อหาจุดที่ลงตัวที่สุดระหว่างประสิทธิภาพและความเป็นส่วนตัว

    บทสรุปและมุมมองสู่อนาคต

    ข่าวคราวการซุ่มพัฒนาแอป “Veritas” และการเลื่อนกำหนดการอัปเกรด Siri ครั้งใหญ่ออกไปถึงปี 2026 บอกอะไรเราได้หลายอย่างครับ

    อย่างแรกคือ Apple เอาจริงกับสมรภูมิ AI แต่พวกเขาเลือกที่จะเดินในเกมของตัวเอง คือช้าแต่ชัวร์ เน้นคุณภาพและความปลอดภัยเป็นที่ตั้ง การตัดสินใจเลื่อนกำหนดการออกไปสะท้อนให้เห็นถึงความรับผิดชอบต่อผู้ใช้งาน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม

    อย่างที่สอง การรอคอยครั้งนี้อาจจะน่าหงุดหงิดสำหรับใครหลายคน โดยเฉพาะเมื่อมองไปที่คู่แข่งที่ปล่อยฟีเจอร์ใหม่ๆ ออกมาไม่หยุด แต่ถ้าสิ่งที่ Apple จะส่งมอบในปี 2026 คือ Siri ที่ฉลาดล้ำ เป็นผู้ช่วยที่เข้าใจเราอย่างแท้จริง และทำงานผสานเป็นหนึ่งเดียวกับทุกอุปกรณ์ใน Ecosystem ของ Apple ได้อย่างราบรื่นและปลอดภัย…การรอก็น่าจะคุ้มค่า

    สุดท้ายนี้ สงคราม AI ยังอีกยาวไกลครับ การมาช้าของ Apple อาจทำให้พวกเขาเสียเปรียบในช่วงต้น แต่ประวัติศาสตร์ก็เคยแสดงให้เห็นมาแล้วว่า Apple ไม่จำเป็นต้องเป็นคนแรกเสมอไป แต่เมื่อพวกเขาพร้อมที่จะลงสนามเมื่อไหร่ ตลาดก็สะเทือนได้เสมอ มารอดูกันครับว่าในปี 2026 Siri จะกลับมาทวงบัลลังก์ผู้ช่วยอัจฉริยะได้สำเร็จหรือไม่!

    ทิ้งคำตอบไว้

    กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
    กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

    Must Read

    spot_img