More
    หน้าแรกGadgetsDJI Osmo Nano เปิดตัวแล้ว! กล้องแอคชั่นจิ๋วแต่แจ๋ว ท้าชนเจ้าตลาด Insta360

    DJI Osmo Nano เปิดตัวแล้ว! กล้องแอคชั่นจิ๋วแต่แจ๋ว ท้าชนเจ้าตลาด Insta360

    สวัสดีครับเพื่อนๆ ชาวเทคเลิฟเวอร์ทุกคน! วันนี้มีข่าวใหญ่ในวงการ Gadget มาเล่าให้ฟังกันแบบเจาะลึก ใครที่เป็นสายท่องเที่ยว, Vlogger, หรือแค่ชอบถ่ายคลิปเก็บโมเมนต์มันส์ๆ ในชีวิตประจำวัน ต้องห้ามพลาดเด็ดขาด เพราะ DJI ที่เราคุ้นเคยกันดีในฐานะเจ้าพ่อโดรน ได้กระโดดลงมาเล่นในตลาดกล้องแอคชั่นขนาดจิ๋วอย่างเป็นทางการแล้ว ด้วยการเปิดตัว DJI Osmo Nano ที่ดูเหมือนจะตั้งใจส่งมาท้าชนกับเจ้าตลาดอย่าง Insta360 แบบตรงๆ เลยทีเดียว!

    สงครามกล้องจิ๋วครั้งนี้จะดุเดือดแค่ไหน? น้องใหม่จาก DJI จะมีดีอะไรมาสู้ แล้วเราในฐานะผู้บริโภคควรจะเลือกทีมไหนดี? มาหาคำตอบไปพร้อมกันเลยครับ

    ทำความรู้จัก DJI Osmo Nano กับนิยาม เล็กพริกขี้หนู

    แค่ได้ยินชื่อ “Nano” ก็พอจะเดาขนาดกันได้แล้วใช่ไหมครับ? DJI Osmo Nano คือกล้องแอคชั่นที่เล็กและเบามากจริงๆ ตัวกล้องหลักมีน้ำหนักแค่ 52 กรัม เท่านั้น เบาซะจนเราสามารถหนีบติดเสื้อ, หมวก, หรือแม้แต่ปลอกคอสัตว์เลี้ยงได้แบบสบายๆ เพื่อเก็บภาพในมุมมองที่ไม่เคยทำได้มาก่อน

    แต่ความเจ๋งของมันไม่ได้มีแค่นั้น Osmo Nano มาพร้อมดีไซน์แบบ Modular หรือแบบแยกส่วนได้ ประกอบด้วย 2 ชิ้นหลัก:
    1. ตัวกล้อง (Camera Unit): ส่วนเลนส์และเซ็นเซอร์ที่เล็กและเบามาก
    2. แท่นควบคุม (Multifunctional Vision Dock): ส่วนที่มีหน้าจอสัมผัส OLED ขนาด 1.96 นิ้ว , แบตเตอรี่เสริม และช่องใส่ microSD Card

    ทั้งสองส่วนนี้เชื่อมต่อกันด้วยแม่เหล็ก เราจะประกอบร่างเพื่อใช้งานเหมือนกล้องทั่วไป หรือจะถอดแยกชิ้นเพื่อเอาตัวกล้องไปติดไว้ที่อื่น แล้วใช้หน้าจอที่แท่นควบคุมเป็นมอนิเตอร์แบบไร้สายก็ได้! คอนเซ็ปต์นี้ให้อิสระในการสร้างสรรค์มุมมองใหม่ๆ ได้อย่างเต็มที่เลยครับ

    สเปคจัดเต็ม เกินตัวไปมาก!

    เห็นตัวเล็กๆ แบบนี้ อย่าเพิ่งปรามาสสเปคภายในนะครับ เพราะ DJI จัดของดีมาให้แบบไม่มีกั๊กเลย

    • เซ็นเซอร์ใหญ่สะใจ: ใช้เซ็นเซอร์ขนาด 1/1.3 นิ้ว ซึ่งถือว่าใหญ่มากสำหรับกล้องขนาดนี้ (ขนาดเดียวกับในรุ่นพี่ Osmo Action 5 Pro) ข้อดีคือ ทำให้รับแสงได้ดีขึ้น ถ่ายในที่แสงน้อยได้สวยงาม และให้ Dynamic Range กว้างถึง 13.5 stops ทำให้เก็บรายละเอียดในส่วนมืดและส่วนสว่างของภาพได้ครบถ้วน
    • วิดีโอ 4K สุดคมชัด: บันทึกวิดีโอได้ความละเอียดสูงสุดถึง 4K/120fps นั่นหมายความว่าเราจะได้ทั้งภาพที่คมกริบและวิดีโอสโลว์โมชั่นที่เนียนตาและทรงพลังมากๆ
    • สีสันระดับโปรด้วย 10-bit D-Log M: นี่คือฟีเจอร์ที่สายโปรดักชั่นต้องร้องว้าว! การบันทึกสีแบบ 10-bit ทำให้เราสามารถนำไฟล์วิดีโอไปปรับแต่งสี (Color Grading) ได้อย่างยืดหยุ่นกว่ามาก ให้โทนสีที่สวยงามเหมือนในหนังเลยทีเดียว
    • กันสั่นขั้นเทพ RockSteady 3.0: วิ่งไปถ่ายไป เดินไปถ่ายไป ก็ไม่ต้องกลัวภาพสั่นไหวอีกต่อไป เพราะระบบกันสั่นอิเล็กทรอนิกส์ของ DJI ขึ้นชื่อเรื่องความนิ่งและเนียนตาอยู่แล้ว

    นอกจากนี้ยังสามารถถ่ายภาพนิ่งได้ความละเอียดสูงสุดถึง 35MP และมีมุมมองกว้างพิเศษ 143 องศา ช่วยให้เก็บภาพบรรยากาศได้ครบถ้วน ไม่ตกหล่น

    Source: Instagram djiglobal

    หมัดต่อหมัด: Osmo Nano vs. Insta360 Go Ultra

    เมื่อผู้ท้าชิงลงสนาม ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องถูกนำไปเปรียบเทียบกับแชมป์เก่าอย่าง Insta360 Go Ultra ซึ่งเป็นเจ้าตลาดกล้องสไตล์นี้มาก่อน เรามาดูกันดีกว่าว่าใครมีดีอะไรบ้าง

    คุณสมบัติDJI Osmo NanoInsta360 Go Ultra
    คุณภาพวิดีโอเหนือกว่าด้วยเซ็นเซอร์ที่ใหญ่ และโปรไฟล์สี 10-bit D-Log M ทำให้ไฟล์ยืดหยุ่นกว่า คุณภาพดี แต่ไฟล์วิดีโอไม่ยืดหยุ่นเท่าสำหรับการปรับแต่งสีระดับโปร 
    สโลว์โมชั่น4K ที่ 120fps ให้ภาพสโลว์โมชั่นที่คมชัดกว่ามาก 2.7K ที่ 120fps 
    แบตเตอรี่ (เฉพาะตัวกล้อง)ใช้งานได้นานกว่า อยู่ได้ประมาณ 85-90 นาที(1080p/24fps) อยู่ได้ประมาณ 60 นาที 
    การชาร์จชาร์จ 80% ในเวลา 20 นาที ชาร์จเร็วกว่า! 80% ในเวลาเพียง 12 นาที 
    ความง่ายในการใช้งานฟังก์ชันทรงพลัง แต่อาจต้องเรียนรู้เล็กน้อย เป็นมิตรกับมือใหม่มาก มี AI ช่วยตัดต่อในแอป และมีคำแนะนำบนจอที่เข้าใจง่าย 
    ระบบเสียงรองรับไมโครโฟนของ DJI ที่เป็นที่นิยมในวงกว้างอยู่แล้ว ทำให้หาอุปกรณ์เสริมง่าย มีไมโครโฟนของตัวเอง แต่ตัวเลือกอาจยังไม่แพร่หลายเท่า
    การกันน้ำตัวกล้องกันน้ำลึก 10 เมตร โดยไม่ต้องใส่เคส ต้องใส่เคสเพื่อการกันน้ำ

    สรุปง่ายๆ คือ DJI Osmo Nano ดูจะเน้นไปที่กลุ่มผู้ใช้ที่ ซีเรียสเรื่องคุณภาพของไฟล์วิดีโอ ชอบความยืดหยุ่นในการนำไปปรับแต่งต่อ ในขณะที่ Insta360 Go Ultra จะเน้นที่ ความง่ายในการใช้งาน และซอฟต์แวร์ที่ฉลาด สามารถสร้างคลิปเจ๋งๆ ได้อย่างรวดเร็วแม้จะเป็นมือใหม่ก็ตาม

    บทสรุป: ถึงเวลาเปลี่ยนใจ หรือใช้แบรนด์เดิม?

    การมาถึงของ DJI Osmo Nano ถือเป็นข่าวดีสำหรับพวกเราทุกคน เพราะมันทำให้ตลาดกล้องแอคชั่นขนาดเล็กมีการแข่งขันที่สูงขึ้น ซึ่งผลประโยชน์ก็ตกอยู่ที่ผู้บริโภคอย่างเราที่จะมีตัวเลือกที่ดีขึ้นในราคาที่สมเหตุสมผล (ราคาเปิดตัวในอเมริกาเริ่มต้นที่ $299 หรือประมาณ 11,000 บาท)

    แล้วควรเลือกอะไรดี?

    • เลือก DJI Osmo Nano: ถ้าคุณคือ Content Creator ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพไฟล์วิดีโอเป็นอันดับหนึ่ง, ชอบการปรับแต่งสี, ต้องการวิดีโอสโลว์โมชั่น 4K ที่คมชัด หรืออาจจะใช้อุปกรณ์อื่นของ DJI อยู่แล้ว
    • เลือก Insta360 Go Ultra: ถ้าคุณเป็นมือใหม่, ชอบความง่าย สะดวก รวดเร็ว, ต้องการแอปพลิเคชันที่มี AI ช่วยตัดต่อวิดีโอเจ๋งๆ ให้แบบอัตโนมัติ และต้องการกล้องที่หยิบขึ้นมาแล้วพร้อมใช้งานได้ทันที

    ไม่ว่าจะเลือกตัวไหน ทั้งสองก็เป็นกล้องที่ยอดเยี่ยมในสไตล์ของตัวเอง การเข้ามาของ DJI ในครั้งนี้ได้พิสูจน์แล้วว่า พวกเขาไม่ได้เก่งแค่เรื่องโดรน แต่พร้อมที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ในทุกตลาดที่ก้าวเข้าไป และเชื่อได้เลยว่าสงครามกล้องจิ๋วนี้เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้นครับ!

    ทิ้งคำตอบไว้

    กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
    กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

    Must Read

    spot_img