More
    หน้าแรกBusinessApple เตือน! อาจปิดฟีเจอร์ป้องกันไพรเวซียุโรปถ้าโดนกดดัน

    Apple เตือน! อาจปิดฟีเจอร์ป้องกันไพรเวซียุโรปถ้าโดนกดดัน

    เมื่อไม่นานมานี้ Apple ออกมาแถลงข่าวที่ถือว่าสั่นสะเทือนวงการเทคโนโลยีไม่น้อย เมื่อบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งนี้ประกาศว่าอาจจะต้องปิดฟีเจอร์ App Tracking Transparency (ATT) ที่เป็นเครื่องมือสำคัญในการปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ในยุโรป หากยังคงถูกกดดันจากการล็อบบี้และหน่วยงานกำกับดูแลต่าง ๆ

    ฟีเจอร์ ATT คืออะไร

    App Tracking Transparency หรือ ATT เป็นฟีเจอร์ที่ Apple เปิดตัวครั้งแรกใน iOS 14.5 เมื่อปี 2021 โดยมีหลักการง่าย ๆ คือให้ผู้ใช้มีสิทธิ์เลือกได้ว่าจะให้แอปต่าง ๆ ติดตามกิจกรรมของเราข้ามแอปและเว็บไซต์อื่น ๆ เพื่อแสดงโฆษณาหรือไม่

    ฟีเจอร์นี้ทำให้เมื่อเราดาวน์โหลดแอปใหม่ จะมีป๊อปอัปขึ้นมาถามว่า “อนุญาตให้แอปนี้ติดตามกิจกรรมของคุณหรือไม่?” ถ้าเราเลือก “ไม่อนุญาต” แอปนั้นก็จะไม่สามารถเก็บข้อมูลของเราไปใช้ในการแสดงโฆษณาแบบเจาะจงได้

    ผลลัพธ์หลังจากเปิดใช้งาน ATT ค่อนข้างน่าประทับใจ มีการศึกษาพบว่าการติดตามข้ามแอปลดลงถึง 54.7% ในสหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียว และผู้ใช้ส่วนใหญ่เลือกที่จะ “ไม่อนุญาต” การติดตาม โดยมีสถิติแสดงว่ามีผู้ใช้ถึง 75% ที่ปฏิเสธการติดตาม

    Credit Image: Apple Official Website

    ปัญหาที่เกิดขึ้นในยุโรป

    การต่อสู้ทางกฎหมายในเยอรมนี

    ปัญหาเริ่มต้นจากเยอรมนี โดย Federal Cartel Office หรือหน่วยงานกำกับดูแลการแข่งขันของเยอรมนีได้เริ่มสอบสวน ATT ตั้งแต่ปี 2022 และในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ที่ผ่านมา หน่วยงานดังกล่าวได้ออกคำตัดสินเบื้องต้นว่า Apple ใช้อำนาจในตลาดอย่างไม่เป็นธรรม โดยให้สิทธิพิเศษกับตัวเองมากกว่าแอปของบุคคลที่สาม

    หน่วยงานกำกับดูแลเยอรมนีกล่าวว่า ATT ทำให้ “ผู้พัฒนาแอปแข่งขันเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้ที่จำเป็นสำหรับการโฆษณายากขึ้นอย่างมาก”

    ค่าปรับจากฝรั่งเศส

    ไม่เพียงแค่เยอรมนี ในเดือนมีนาคม 2025 ฝรั่งเศสยังได้ปรับ Apple เป็นเงิน 150 ล้านยูโร โดยหน่วยงานกำกับดูแลการแข่งขันของฝรั่งเศสระบุว่า Apple ทำให้กระบวนการที่ผู้ใช้จะเลือกไม่ให้ติดตามซับซ้อนเกินไป และเป็นการเอาเปรียบผู้พัฒนาแอปบุคคลที่สามและผู้ให้บริการโฆษณา

    อิตาลีกำลังรอผล

    ขณะที่อิตาลีก็กำลังทำการสอบสวนในประเด็นคล้าย ๆ กัน และคาดว่าจะมีผลการตัดสินออกมาภายในปีนี้

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโฆษณาออนไลน์

    Meta (Facebook) ได้รับผลกระทบหนักที่สุด

    ฟีเจอร์ ATT ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออุตสาหกรรมโฆษณาออนไลน์ โดยเฉพาะ Meta (บริษัทแม่ของ Facebook และ Instagram) ที่ประมาณการว่าจะสูญเสียรายได้ถึง 12.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2022 จาก ATT

    Facebook เคยต่อต้าน ATT อย่างรุนแรงก่อนที่จะเปิดใช้งาน โดยซื้อโฆษณาหน้าเต็มในหนังสือพิมพ์หลายฉบับ โจมตี Apple ว่าเป็น “ศัตรูของธุรกิจขนาดเล็ก”

    ธุรกิจขนาดเล็กได้รับผลกระทบมากกว่า

    การศึกษาพบว่า ATT ทำให้อัตราการคลิกโฆษณาลดลง 37% และรายได้ของบริษัทขนาดเล็กที่พึ่งพา Facebook ลดลงถึง 60% โดยเฉพาะธุรกิจที่ขายตรงให้ผู้บริโภค

    ธุรกิจเล็กได้รับผลกระทบมากกว่าบริษัทใหญ่ เพราะการหาลูกค้าใหม่ได้รับผลกระทบมากกว่าการขายซ้ำให้ลูกค้าเก่า

    สถิติการลดลงของการติดตามโฆษณาหลัง ATT เปิดใช้งานในสหรัฐฯ (ลดลง 54.7%)

    การต่อสู้กับ Digital Markets Act (DMA)

    ปัญหาของ Apple ในยุโรปไม่ได้มีแค่เรื่อง ATT เพียงอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวข้องกับ Digital Markets Act (DMA) ซึ่งเป็นกฎหมายของสหภาพยุโรปที่มีเป้าหมายจำกัดอำนาจของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่

    Apple ได้ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “gatekeeper” ภายใต้ DMA และกำลังท้าทายความชอบด้วยกฎหมายของ DMA ในศาล โดยอ้างว่ากฎหมายนี้ “บังคับให้มีภาระที่หนักหน่วงและล่วงล้ำอย่างมาก” และละเลยการปกป้องสิทธิในทรัพย์สิน ความเป็นส่วนตัว และความปลอดภัย

    ท่าทีของ Apple

    Apple ออกมาแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าการกดดันจากกลุ่มล็อบบี้และหน่วยงานกำกับดูแลในยุโรปอาจบังคับให้บริษัทต้องปิด ATT เพื่อ “ความเสียหายของผู้บริโภคชาวยุโรป”

    บริษัทระบุในแถลงการณ์ต่อสำนักข่าวเยอรมนีว่า “ความพยายามในการล็อบบี้อย่างรุนแรงในเยอรมนี อิตาลี และประเทศอื่น ๆ ในยุโรปอาจบังคับให้เราถอนฟีเจอร์นี้ซึ่งจะเป็นการเสียหายต่อผู้บริโภคชาวยุโรป”

    Apple ยังกล่าวว่า “เราจะยังคงผลักดันให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเยอรมนี อิตาลี และทั่วยุโรปอนุญาตให้ Apple สามารถให้เครื่องมือสำคัญด้านความเป็นส่วนตัวนี้แก่ผู้ใช้ของเราต่อไป”

    มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ

    นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นแตกต่างกันเกี่ยวกับประเด็นนี้ บางคนมองว่า Apple อาจใช้ ATT เป็นเครื่องมือในการแข่งขัน โดยสร้างข้อได้เปรียบให้กับธุรกิจโฆษณาของตัวเองมากกว่าการปกป้องความเป็นส่วนตัวอย่างแท้จริง

    ในขณะเดียวกัน Electronic Privacy Information Center ก็ออกมาสนับสนุนท่าทีของ Apple โดยมองว่าการกดดันจากกลุ่มล็อบบี้มีเป้าหมายเพื่อปกป้องธุรกิจโฆษณามากกว่าผู้บริโภคและความเป็นส่วนตัวของพวกเขา

    ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น

    หาก Apple จริง ๆ ปิด ATT ในยุโรป ผู้ใช้ iPhone และ iPad ในภูมิภาคนี้จะสูญเสียการควบคุมที่สำคัญเหนือข้อมูลส่วนตัวของตนเอง แอปต่าง ๆ จะกลับมาสามารถติดตามกิจกรรมของผู้ใช้ได้อย่างเสรี เช่นเดียวกับที่เป็นมาก่อนปี 2021

    อีกทั้งยังอาจเป็นการสร้าง “มาตรฐานสองระดับ” สำหรับผู้ใช้ Apple ทั่วโลก โดยผู้ใช้ในยุโรปจะได้รับการปกป้องความเป็นส่วนตัวน้อยกว่าผู้ใช้ในภูมิภาคอื่น

    บทสรุป

    เรื่องราวนี้สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของการกำกับดูแลเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน ที่ต้องสร้างสมดุลระหว่างการปกป้องผู้บริโภค การส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม และการรักษานวัตกรรม

    การตัดสินใจของ Apple ในครั้งนี้อาจจะกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการปกป้องความเป็นส่วนตัวในอนาคต หากผู้ใช้ในยุโรปสูญเสียเครื่องมือสำคัญนี้ไป มันอาจจะเป็นการถอยหลังครั้งใหญ่ในการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล

    สำหรับในประเทศไทย ผู้ใช้ยังคงสามารถใช้ฟีเจอร์ ATT ได้ตามปกติ แต่เหตุการณ์ในยุโรปนี้อาจเป็นสัญญาณเตือนว่า ความเป็นส่วนตัวของเราอาจไม่ได้รับการรับรองตลอดไป และอาจขึ้นอยู่กับการต่อรองทางการเมืองและธุรกิจมากกว่าสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้บริโภค


    ทิ้งคำตอบไว้

    กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
    กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

    Must Read

    spot_img