โลกเทคโนโลยีกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ทำให้เราต้องมาคิดใหม่เรื่องอนาคตของการทำงาน ข้อมูลล่าสุดเผยว่า บริษัทเทคโนโลยีทั่วโลกได้ปลดพนักงานรวมกันแล้วเกิน 91,000 คน ในปี 2025 โดยสาเหตุหลักมาจากการนำ AI หรือปัญญาประดิษฐ์เข้ามาทดแทนงานที่มนุษย์เคยทำ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ใช่แค่ข่าวเศรษฐกิจธรรมดา แต่เป็นสัญญาณบอกเหตุว่าเราต้องปรับตัวอย่างไรให้ทันกับยุคใหม่ที่ AI มีบทบาทมากขึ้น
สถานการณ์การปลดงานในวงการเทค
ตัวเลขที่น่าตกใจที่สุดคงเป็นการที่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Intel วางแผนจะลดพนักงานลงถึง 25-30% หรือประมาณ 33,900 คน ภายในสิ้นปี 2025 ส่วน Microsoft ก็ได้ปลดพนักงานไปแล้วประมาณ 19,215 คน ขณะที่ Amazon, Meta, IBM และ Salesforce ต่างก็มีการลดกำลังคนเป็นจำนวนมาก
สิ่งที่น่าสนใจคือ การปลดงานครั้งนี้ไม่เหมือนในอดีตที่เกิดจากวิกฤตเศรษฐกิจ แต่เกิดขึ้นในขณะที่บริษัทเหล่านี้กำลังลงทุนหนักในเทคโนโลยี AI เช่น Microsoft ที่ปลดพนักงาน 15,000 คน แต่กลับลงทุน 80 พันล้านดอลลาร์ในโครงการ AI ซึ่งแสดงให้เห็นว่านี่เป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของอุตสาหกรรม ไม่ใช่แค่การลดต้นทุนชั่วคราว

AI กับการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงาน
Goldman Sachs คาดการณ์ว่า AI อาจส่งผลให้พนักงานในอเมริกา 6-7% สูญเสียงาน โดยงานที่มีความเสี่ยงสูงคือ งานที่เกี่ยวกับ software development, customer service และงานธุรการต่างๆ Stanford Digital Economy Lab พบว่า การจ้างงานระดับ entry-level ในตำแหน่งที่เสี่ยงต่อ AI ลดลงไป 13% แล้ว
แต่ที่น่าสนใจคือ AI ไม่ได้ทำลายงานเพียงอย่างเดียว งานใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ AI กำลังเกิดขึ้นมากมาย เช่น AI Engineer, Data Scientist, AI Ethics Specialist, และ Prompt Engineer World Economic Forum ประเมินว่า แม้ AI จะทำให้งาน 85 ล้านตำแหน่งหายไป แต่จะสร้างงานใหม่ 97 ล้านตำแหน่งขึ้นมา
โอกาสใหม่สำหรับคนที่พร้อมปรับตัว
ข่าวดีสำหรับคนที่มีทักษะด้าน AI คือ เงินเดือนของพวกเขากำลังสูงขึ้นอย่างมาก การวิจัยของ Lightcast พบว่า งานที่ต้องใช้ทักษะ AI ให้เงินเดือนสูงกว่าเฉลี่ย 28% หรือประมาณ 18,000 ดอลลาร์ต่อปี หากมีทักษะ AI มากกว่า 2 อย่าง เงินเดือนจะสูงขึ้นถึง 43%
สิ่งที่น่าสนใจคือ การเติบโตของงาน AI ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในวงการเทคโนโลยี งานใน marketing, HR, finance, education และ customer service ต่างก็เริ่มต้องการทักษะ AI มากขึ้น โดยเฉพาะงาน marketing ที่มีการเติบโตของงานที่ต้องการทักษะ generative AI ถึง 800% นับตั้งแต่ปี 2022

เตรียมตัวอย่างไรให้รอด
สำหรับคนที่กังวลเรื่องการถูกปลดงาน ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ upskill หรือพัฒนาทักษะใหม่ๆ โดยเฉพาะทักษะที่เกี่ยวข้องกับ AI ทักษะที่ได้รับความต้องการสูงสุด ได้แก่ machine learning, generative AI, ChatGPT และ prompt engineering
แต่ที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ทักษะด้านมนุษย์ เช่น การสื่อสار, ความเป็นผู้นำ, การแก้ปัญหา และความคิดสร้างสรรค์ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ AI ยังทำแทนเราไม่ได้ และกลับมีความสำคัญมากขึ้นในยุค AI
นักจิตวิทยา Nirali Bhatia แนะนำว่า แทนที่จะกังวลกับความไม่แน่นอน ควรใช้เวลานั้นไป networking, เรียนรู้ทักษะใหม่ หรือสร้าง backup plan “ความมั่นคงที่แท้จริงมาจากความสามารถในการปรับตัว ไม่ใช่การมีงานทำเพียงอย่างเดียว”
ผลกระทบต่อประเทศไทย
แม้ตัวเลขส่วนใหญ่จะมาจากต่างประเทศ แต่ประเทศไทยก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงกระแสนี้ได้ บริษัทเทคโนโลยีในไทยหลายแห่งก็เริ่มนำ AI มาใช้มากขึ้น ทำให้เราต้องเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น
ข่าวดีคือ ภาครัฐและเอกชนในไทยก็เริ่มให้ความสำคัญกับการ reskill และ upskill แรงงาน โดยเฉพาะในด้านดิจิทัล และ AI มากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้คนไทยปรับตัวได้ทันกับการเปลี่ยนแปลงนี้
มองไปข้างหน้า
การที่ AI หั่นงานไป 91,000 ตำแหน่งอาจดูน่ากลัว แต่หากมองในแง่บวก นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะทำให้เราได้งานที่มีค่ามากขึ้น ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะปรับตัวได้เร็วแค่ไหน และเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างไร
สิ่งสำคัญคือ เราต้องเข้าใจว่า AI ไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้เราทำงานได้ดีขึ้น คนที่จะประสบความสำเร็จในยุคนี้คือคนที่สามารถทำงานร่วมกับ AI ได้ ไม่ใช่คนที่ต่อต้านหรือหลบหนีมัน
สำหรับประเทศไทย การลงทุนในการศึกษาด้าน AI และการพัฒนาทักษะดิจิทัลของประชาชนจะเป็นกุญแจสำคัญในการแข่งขันในตลาดโลก ยิ่งเราเตรียมตัวได้เร็วเท่าไหร่ โอกาสที่เราจะได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ก็จะมากขึ้นเท่านั้น

