More
    หน้าแรกScienceLIGO จับสัญญาณ "หลุมดำรุ่นสอง" ที่เกิดจากการชนครั้งก่อน – ปรากฏการณ์พิศวง ที่ท้าทายทฤษฎีเดิม

    LIGO จับสัญญาณ “หลุมดำรุ่นสอง” ที่เกิดจากการชนครั้งก่อน – ปรากฏการณ์พิศวง ที่ท้าทายทฤษฎีเดิม

    ครั้งนี้มีกระแสจากโลกวิทยาศาสตร์ดาราศาสตร์มาแรง เมื่อโครงการ LIGO-Virgo-KAGRA ซึ่งเป็นเครือข่ายหอตรวจจับคลื่นความโน้มถ่วงที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้ตรวจจับเหตุการณ์ชนกันของหลุมดำถึงสองครั้งในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2024 และข้อมูลที่ได้พบตรงกับสมมติฐานที่ว่า หลุมดำบางดวงอาจเป็น “หลุมดำรุ่นสอง” ที่เคยผ่านการชนมาแล้วครั้งหนึ่ง แถมยังพบหลุมดำที่หมุนเร็วที่สุดดวงหนึ่งในประวัติศาสตร์การสังเกตอีกด้วย

    Binary Black Hole Merger
    Binary Black Hole Merger: ภาพศิลปะแสดงการรวมตัวของหลุมดำคู่ ในกรณีเช่น GW241011 และ GW241110 ซึ่งหลุมดำอย่างน้อยหนึ่งดวงหมุนในทิศทางที่ผิดปกติเมื่อเทียบกับระนาบวงโคจร การหมุนที่ผิดปกตินี้ให้เบาะแสเกี่ยวกับวิธีการก่อตัวของระบบ เครดิต: Carl Knox, OzGrav, Swinburne University of Technology

    อะไรคือ “หลุมดำรุ่นสอง”

    หลุมดำรุ่นสอง (second-generation black holes) หรือที่เรียกในทางวิทยาศาสตร์ว่า “hierarchical mergers” คือหลุมดำที่ไม่ได้เกิดจากการระเบิดของดาวฤกษ์ตามปกติ แต่เป็นผลมาจากการชนกันของหลุมดำสองดวง แล้วรวมตัวกันเป็นหลุมดำดวงใหม่ที่มีมวลมากขึ้น ซึ่งหลุมดำดวงใหม่นี้สามารถเคลื่อนที่ไปชนกับหลุมดำอื่นอีก สร้างเป็นวงจรของการชน-รวมตัว-ชนอีกรอบ ในบริเวณที่มีความหนาแน่นสูง เช่นกลุ่มดาวฤกษ์ขนาดใหญ่ (star clusters)

    ข่าวที่เกิดขึ้น: การตรวจจับสองครั้งในระยะเวลาเดือนเดียว

    เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2024 LIGO ได้ตรวจจับเหตุการณ์ชนกันของหลุมดำที่เกิดขึ้นห่างจากโลกประมาณ 700 ล้านปีแสง ชื่อว่า GW241011 ซึ่งเป็นการชนกันของหลุมดำสองดวง มีมวลประมาณ 17 และ 7 เท่าของดวงอาทิตย์ตามลำดับ จุดเด่นคือหลุมดำดวงใหญ่กว่าในคู่นี้หมุนรอบตัวเองเร็วมาก จนเป็นหนึ่งในหลุมดำที่หมุนเร็วที่สุดที่เคยตรวจพบ

    ต่อมาวันที่ 10 พฤศจิกายน 2024 เครือข่ายตรวจจับอีกเหตุการณ์หนึ่ง คือ GW241110 ซึ่งเกิดไกลออกไปถึง 2.4 พันล้านปีแสง หลุมดำทั้งสองดวงมีมวลประมาณ 16 และ 8 เท่าของดวงอาทิตย์ หลุมดำดวงใหญ่กว่าในครั้งนี้หมุนในทิศทางตรงข้ามกับวงโคจรของมัน ซึ่งเป็นการตรวจพบครั้งแรกของการหมุนแบบนี้

    ทั้งสองเหตุการณ์นี้ตีพิมพ์ในวารสาร The Astrophysical Journal Letters เมื่อ 28 ตุลาคม 2025

    ทำไมหลุมดำทั้งสองคู่นี้น่าจะเป็น “รุ่นสอง”

    สัญญาณสำคัญที่นักวิทยาศาสตร์ใช้ชี้ว่าหลุมดำเหล่านี้น่าจะมาจากการชนครั้งก่อนหน้า ได้แก่

    • ความต่างมวลมหาศาล: หลุมดำดวงใหญ่ในแต่ละคู่มีมวลเกือบสองเท่าของดวงเล็ก ซึ่งไม่ค่อยสอดคล้องกับทฤษฎีการเกิดหลุมดำปกติ
    • การหมุนอย่างรวดเร็วและทิศทางผิดปกติ: หลุมดำดวงใหญ่ทั้งสองหมุนเร็วและมีทิศทางการหมุนแปลก ซึ่งสอดคล้องกับว่ามันเคยรับโมเมนตัมเชิงมุมจากการชนมาก่อน
    • สภาพแวดล้อมหนาแน่น: ทฤษฎี “hierarchical mergers” บอกว่าหลุมดำต้องเกิดในพื้นที่ที่มีหลุมดำหนาแน่นมาก เช่น กลุ่มดาวฤกษ์หรือบริเวณใกล้หลุมดำขนาดยักษ์กลางกาแล็กซี

    Stephen Fairhurst นักฟิสิกส์จาก Cardiff University และโฆษกของ LIGO Scientific Collaboration กล่าวว่า “ทั้งสองเหตุการณ์นี้มีหลุมดำดวงหนึ่งที่มีมวลมากกว่าอีกดวงอย่างชัดเจน และหมุนเร็ว ซึ่งเป็นหลักฐานที่น่าสนใจว่าหลุมดำเหล่านี้เกิดจากการชนของหลุมดำครั้งก่อน”

    รอบนำก่อนหน้า: หลุมดำที่ใหญ่สุดที่เคยพบ

    นอกจากกรณีดังกล่าว โครงการ LIGO ยังประกาศผลการตรวจจับหลุมดำที่มีมวลมากที่สุดเท่าที่เคยพบในประวัติศาสตร์ เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2025 จากเหตุการณ์ที่เรียกว่า GW231123 ซึ่งตรวจจับได้ในพฤศจิกายน 2023 หลุมดำสองดวงที่ชนกันมีมวลประมาณ 100 และ 140 เท่าของดวงอาทิตย์ รวมเป็นหลุมดำดวงใหม่ที่มีมวลถึง 225 เท่าของดวงอาทิตย์

    ที่น่าสนใจคือ หลุมดำทั้งสองดวงในกรณีนี้มีมวลอยู่ในช่วง “ต้องห้าม” ของทฤษฎีพัฒนาการดาวฤกษ์ปกติ คือ 60–130 มวลดวงอาทิตย์ ตามทฤษฎี ดาวฤกษ์ในช่วงนี้ควรระเบิดกระจายออกไป ไม่ใช่ยุบตัวเป็นหลุมดำ ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงสรุปว่า หลุมดำทั้งสองนี้น่าจะเกิดจาก hierarchical mergers เช่นกัน

    Mark Hannam นักฟิสิกส์จาก Cardiff University กล่าวว่า “นี่คือหลุมดำคู่ที่มีมวลมากที่สุดที่เราเคยสังเกตผ่านคลื่นความโน้มถ่วง และมันท้าทายความเข้าใจของเราเกี่ยวกับการเกิดหลุมดำอย่างมาก หลุมดำที่มีมวลมากขนาดนี้ห้ามตามแบบจำลองพัฒนาการดาวฤกษ์มาตรฐาน แนวทางหนึ่งคือทั้งสองดวงอาจเกิดจากการชนของหลุมดำที่เล็กกว่ามาก่อน”

    ผลกระทบต่อวิทยาศาสตร์และความเข้าใจจักรวาล

    การค้นพบนี้ช่วยตอบคำถามหลายข้อเกี่ยวกับกำเนิดและวิวัฒนาการของหลุมดำ รวมถึงยืนยันทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของ Albert Einstein ในรายละเอียดที่ลึกซึ้งกว่าเดิม นอกจากนี้ยังเปิดทางให้นักวิทยาศาสตร์ศึกษาสภาพแวดล้อมที่หลุมดำชนกันซ้ำๆ เช่นกลุ่มดาวแบบ globular clusters หรือจุดศูนย์กลางกาแล็กซี

    ปัจจุบัน LIGO, Virgo และ KAGRA อยู่ในช่วงการสังเกตรอบที่สี่ (O4) ซึ่งเริ่มตั้งแต่พฤษภาคม 2023 และวางแผนจะดำเนินต่อจนถึงกลางเดือนพฤศจิกายน 2025 จนถึงขณะนี้ LIGO ได้ตรวจจับการชนกันของหลุมดำมาแล้วประมาณ 300 ครั้ง

    Gianluca Gemme โฆษกของ Virgo Collaboration กล่าวว่า “การค้นพบเหล่านี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศในการเปิดเผยปรากฏการณ์ที่เข้าใจยากที่สุดในจักรวาล”

    ข้อจำกัดและคำถามที่ยังตอบไม่ได้

    แม้หลักฐานจะน่าเชื่อถือ แต่นักวิทยาศาสตร์ยังต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อยืนยันว่าหลุมดำเหล่านี้เกิดจาก hierarchical mergers จริงๆ คำถามสำคัญที่ยังค้างคือ สภาพแวดล้อมแบบใดที่เหมาะสมสำหรับให้การชนแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ และหลุมดำสามารถชนกันได้กี่รอบก่อนที่จะใหญ่เกินไปจนไม่สามารถหาคู่ชนต่อได้

    นอกจากนี้ การวัดการหมุนของหลุมดำก็ยังมีความไม่แน่นอนอยู่บ้าง เพราะสัญญาณคลื่นความโน้มถ่วงที่ตรวจได้นั้นมีความซับซ้อน

    Image Credit: news.gatech.edu by Raul Perez and Davis Newell | ภาพจำลองการรวมกันของหลุมดำ

    อนาคตของการตรวจจับคลื่นความโน้มถ่วง

    ความสำเร็จของการตรวจจับคู่นี้เกิดจากการปรับปรุงความละเอียดของเครื่องตรวจจับ LIGO ให้ดีขึ้น ทำให้สามารถวัดสัญญาณละเอียดได้แม่นยำกว่าเดิม Joe Giaime หัวหน้าหอตรวจสอบ LIGO Livingston กล่าวว่า “ความไวที่ดีขึ้นไม่เพียงช่วยให้ LIGO ตรวจจับสัญญาณได้มากขึ้น แต่ยังช่วยให้เข้าใจลึกซึ้งกว่าเดิมในสัญญาณที่เราตรวจจับได้”

    ในอนาคต เครือข่ายนี้วางแผนจะเพิ่มความไวและร่วมมือกับหอตรวจจับรุ่นใหม่ เช่น LIGO-India และโครงการ Einstein Telescope ในยุโรป ซึ่งจะช่วยให้สามารถตรวจจับหลุมดำที่ไกลและเล็กกว่าได้

    สำหรับประเทศไทย แม้จะยังไม่มีหอตรวจจับคลื่นความโน้มถ่วงเป็นของตัวเอง แต่นักวิทยาศาสตร์ไทยก็มีส่วนร่วมในโครงการวิจัยระดับโลกด้านนี้ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลและพัฒนาทฤษฎีร่วมกับเครือข่ายนานาชาติ และนี่ก็เป็นโอกาสสำคัญสำหรับคนรุ่นใหม่ที่สนใจดาราศาสตร์และฟิสิกส์ในระดับสูง

    ศัพท์เทคนิค

    คลื่นความโน้มถ่วง (Gravitational Waves): ระลอกในกาล-อวกาศที่เกิดจากเหตุการณ์ใหญ่ในจักรวาล เช่นการชนกันของหลุมดำ ทำนายโดย Albert Einstein ตั้งแต่ปี 1916 และตรวจจับได้จริงครั้งแรกในปี 2015

    Hierarchical Merger: กระบวนการที่หลุมดำที่เกิดจากการชนครั้งหนึ่งไปชนกับหลุมดำอื่นอีก สร้างหลุมดำที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เกิดได้ในบริเวณหนาแน่นอย่างกลุ่มดาวฤกษ์

    LIGO: ย่อมาจาก Laser Interferometer Gravitational-wave Observatory เป็นหอตรวจจับคลื่นความโน้มถ่วงของสหรัฐอเมริกา มีสองแห่งคือที่ Livingston, Louisiana และ Hanford, Washington ร่วมมือกับ Virgo (อิตาลี) และ KAGRA (ญี่ปุ่น)

    มวลดวงอาทิตย์ (Solar mass): หน่วยวัดมวลในดาราศาสตร์ เทียบกับมวลของดวงอาทิตย์ หลุมดำดวงหนึ่งที่มีมวล 100 เท่าของดวงอาทิตย์ หมายถึงมีมวล 100 solar masses

    Black Hole Spin: การหมุนรอบแกนของหลุมดำ วัดได้จากสัญญาณคลื่นความโน้มถ่วง หลุมดำที่หมุนเร็วมาก อาจบ่งบอกว่าเคยรับพลังหมุนจากเหตุการณ์การชนมาก่อน

    สรุป

    การค้นพบครั้งนี้เปิดบทใหม่ในการทำความเข้าใจวิวัฒนาการของหลุมดำในจักรวาล แสดงให้เห็นว่าหลุมดำบางดวงไม่ได้เกิดจากการระเบิดของดาวฤกษ์เพียงอย่างเดียว แต่อาจเกิดจากการชนครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งสร้างหลุมดำที่มีมวลมหาศาลและลักษณะพิเศษต่างๆ ข้อมูลจากการตรวจจับในอนาคตจะช่วยให้ภาพชัดเจนยิ่งขึ้น และยังคงพิสูจน์ให้เห็นว่าจักรวาลของเรานั้นซับซ้อนและน่าทึ่งเกินกว่าที่เคยคิด

    ทิ้งคำตอบไว้

    กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
    กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

    Must Read

    spot_img
    น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้

    เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

    ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

    คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

    ยอมรับทั้งหมด
    จัดการความเป็นส่วนตัว
    • เปิดใช้งานตลอด

    บันทึกการตั้งค่า