วงการดาราศาสตร์ทั่วโลกกำลังตื่นตระหนกหลังมีรายงานจากหอสังเกตการณ์หลายแห่งว่า วัตถุชื่อ “3I/ATLAS” ซึ่งเป็นวัตถุจากนอกระบบสุริยะ (interstellar object) ที่เข้ามาในระบบสุริยะของเราในปี 2025 เกิด “หยุดเคลื่อนที่ตามปกติ” และ “ลดความเร็ว” อย่างฉับพลัน
นักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า นี่ “ไม่ควรเกิดขึ้นได้” ตามกฎฟิสิกส์ทั่วไป เพราะวัตถุจากนอกระบบสุริยะควรจะพุ่งผ่านระบบสุริยะไปด้วยความเร็วสูง โดยไม่ชะลอเองเว้นแต่มีแรงภายนอกมหาศาลมากระทำ
คำถามจึงเริ่มดังขึ้นทั่วโลก: หรือมันอาจไม่ใช่แค่ “หินอวกาศ” ธรรมดา?
3I/ATLAS คืออะไร – และทำไมถึงสำคัญ
3I/ATLAS เป็นวัตถุจากนอกระบบสุริยะลำดับที่สามที่มนุษย์ค้นพบ ต่อจาก 1I/ʻOumuamua (2017) และ 2I/Borisov (2019)
คำว่า “3I” หมายถึง “third interstellar” ส่วน “ATLAS” มาจากชื่อระบบกล้องโทรทรรศน์ที่ค้นพบมัน (Asteroid Terrestrial-impact Last Alert System)
สิ่งที่น่าทึ่งคือ:
- มันถูกคำนวณว่ามีขนาดราว 100–300 เมตร
- เดินทางด้วยความเร็วเริ่มต้นกว่า 30 กิโลเมตรต่อวินาที
- เส้นทางการเคลื่อนที่มีความเป็นอิสระ ไม่ถูกแรงโน้มถ่วงของดาวเคราะห์ใดดึงมากนัก
แต่นักดาราศาสตร์กลับพบว่า ณ เดือนตุลาคม 2025 ความเร็วของ 3I/ATLAS ลดลงกะทันหันกว่าร้อยละ 25 ภายในเวลาเพียง 36 ชั่วโมง
สิ่งนี้ “ไม่ควรเกิดขึ้นได้” หากไม่มีแรงผลักหรือลากจากภายนอก — ซึ่งยังไม่มีใครพบว่ามาจากอะไร
เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทฤษฎีเริ่มแตกแขนง
หลังข่าวนี้แพร่กระจายออกไป โลกออนไลน์และกลุ่มวิจัยอวกาศต่างนำเสนอสมมติฐานที่หลากหลาย ตั้งแต่กลไกฟิสิกส์ธรรมดา ไปจนถึงแนวคิดที่เกือบเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์
1. ผลกระทบจากการระเหยของน้ำแข็ง
บางนักวิทยาศาสตร์เสนอว่าอาจมีสารระเหย เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ หรือไอน้ำ แผ่ออกทางหนึ่งจนทำให้วัตถุเบี่ยงทิศและลดความเร็วชั่วคราว
แต่ข้อมูลอินฟราเรดยัง “ไม่พบสัญญาณของไอระเหย” ใดๆ ที่บ่งชี้ว่ากระบวนการนี้เกิดขึ้นจริง
2. อิทธิพลจากสนามแม่เหล็กหรือแรงโน้มถ่วงลึกลับ
สมมติฐานบางชุดบอกว่า บริเวณที่ 3I/ATLAS ผ่านอาจมี “โครงสร้างมืด” (dark structure) หรือสนามแรงโน้มถ่วงเฉพาะพื้นที่ที่เราไม่รู้จัก เช่น เศษของดาวฤกษ์ที่ดับไปแล้ว
หากเป็นเช่นนั้นจริง มันอาจเปิดประตูสู่การทำความเข้าใจ “สสารมืด” ที่ยังเป็นปริศนาในฟิสิกส์สมัยใหม่
3. หรือมันไม่ใช่วัตถุธรรมชาติเลย?
หลายคนจำกรณี ʻOumuamua ได้ว่ามีทฤษฎีเสนอว่า “อาจเป็นยานสำรวจจากอารยธรรมต่างดาว” เพราะลักษณะและการเร่งความเร็วผิดธรรมชาติ
เหตุการณ์ของ 3I/ATLAS ครั้งนี้จึงถูกนำมาเทียบและตั้งคำถามซ้ำ: มันกำลัง “ปรับทิศทาง” เองหรือไม่?
ผลสะเทือนต่อวงการอวกาศ
การเคลื่อนไหวผิดปกติของ 3I/ATLAS ไม่ได้แค่เป็นข่าวไวรัล แต่มันกำลังส่งผลต่อการวิจัยระดับโลก
- องค์การอวกาศยุโรป (ESA) และ NASA ได้ร่วมเปิดเครือข่ายสังเกตการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง
- ทีมจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดกำลังวางแผนส่งยานไร้คนขับ “CubeSat Interceptor” ไปเก็บข้อมูลระยะใกล้ หากเส้นทางยังอยู่ในระยะปลอดภัย
- ขณะเดียวกัน กลุ่มวิทยาศาสตร์พลเมือง (Citizen Scientists) ทั่วโลกก็ระดมกล้องโทรทรรศน์ส่วนตัวเพื่อจับภาพการเปลี่ยนแปลงของมันแบบเรียลไทม์
ข่าวลือเริ่มแพร่ไปทั่วโซเชียลมีเดีย ถึงขั้นมีแฮชแท็ก #3IATLAS และ #SomethingStoppedIt ติดเทรนด์บน X และ Reddit ในหมวด “Sci-Fi or Real?”

มนุษย์กำลังเฝ้าดูอะไรบางอย่างที่อาจไม่เข้าใจ
สิ่งที่ทำให้หลายคนขนหัวลุกคือ ข้อมูลล่าสุดจากศูนย์วิจัยดาวเคราะห์น้อยที่ฮาวายเผยว่า หลังจาก 3I/ATLAS ลดความเร็ว มัน “หมุนตัว” อย่างผิดปกติ ก่อนจะนิ่งอยู่ในแนวระนาบที่พอดีกับเส้นวงโคจรของโลก
เหมือนกับมัน “เลือก” ที่จะอยู่ ณ จุดนั้นเอง
นี่อาจเป็นเพียงความบังเอิญทางคณิตศาสตร์… แต่ในความมืดของอวกาศ ไม่มีอะไรแน่นอน
ศัพท์เทคนิคสั้นๆ
- Interstellar Object: วัตถุที่มาจากนอกระบบสุริยะของเรา เช่น ดาวฤกษ์อื่นหรือโซนระหว่างดาว
- ATLAS Telescope: ระบบกล้องจับการชนของดาวเคราะห์น้อยที่ออกแบบเพื่อเตือนภัยล่วงหน้า
- Sublimation (การระเหิด): กระบวนการที่ของแข็งเปลี่ยนเป็นไอโดยไม่ผ่านสถานะของเหลว
- Dark Matter: สสารลึกลับที่ไม่สามารถมองเห็นได้โดยตรง แต่มีผลทางแรงโน้มถ่วง
บทสรุป: เมื่ออวกาศเริ่มตอบกลับ
ไม่ว่าความจริงเบื้องหลัง 3I/ATLAS จะคืออะไร เหตุการณ์ครั้งนี้คือหนึ่งในปริศนาทางดาราศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งทศวรรษ มันทำให้เราตระหนักว่า มนุษย์ยังเข้าใจจักรวาลเพียงเศษเสี้ยวเล็กๆ เท่านั้น
บางที “สิ่งที่หยุด” 3I/ATLAS อาจเป็นแรงธรรมชาติที่เรายังไม่รู้จัก
หรือบางที… มันอาจไม่ใช่สิ่งที่เราควรเข้าใจได้ง่ายๆ เลยก็เป็นได้

